ซูฮาร์โต |
ประธานาธิบดีคนที่
2 ของอินโดนีเซีย
ดำรงตำแหน่ง12 มีนาคม พ.ศ. 2510 – 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2541
สมัยก่อนหน้า ซูการ์โน
สมัยถัดไป ยูซุฟ ฮาบิบี
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด 8 มิถุนายน
พ.ศ. 2464
ยอร์กยากาตา
อินโดนีเซีย
เสียชีวิต 27 มกราคม
พ.ศ. 2551 (86 ปี)
จาการ์ตา
อินโดนีเซีย
พรรคการเมือง Golkar
คู่สมรส Siti Hartinah
ศาสนา อิสลาม
ซูฮาร์โต (อังกฤษ: Suharto, 8 มิถุนายน พ.ศ. 2464 - 27 มกราคม พ.ศ.2551)เป็นประธานาธิบดีคนที่ 2ของประเทศอินโดนีเซีย และเป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดียาวนานที่สุดของประเทศเป็นเวลา
32 ปี โดยได้รับฉายาจากนานๆชาติโดยเฉพาะประเทศโลกตะวันตกว่า
"The Smiling General"
ก่อนที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิปดี
ซูฮาร์โตเป็นผู้นำทางทหารในยุคที่อยู่ใต้การปกครองของ ญี่ปุ่นและฮอลันดา
เรื่อยมาจนได้รับยศพลตรี ซูฮาร์โตมีบทบาทมากจากเหตุการณ์ปราบปรามพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย
ในการเคลื่อนไหวเมื่อวันที่ 30กันยายน ค.ศ.1965จนได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากซูการ์โนในปี 1968 จนถึงวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1998 จึงได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งหลังจากการเดินขบวนต่อต้านจากนักศึกษาและประชาชน
"เขาเป็นลูกชาวนาในเกาะชวา
ในปี 1921 เขาเข้าฝึกการเป็นทหารกับกองทัพดัชและต่อมาเขาได้เข้าไปทำงานกับกองทัพของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ต่อมาเขาได้เข้าร่วมกองทัพแห่งอินโดนีเซียเพื่อต่อต้านการเข้ายึดครองอินโดนีเซียอีกครั้งของดัช
หลังจากประเทศนี้ได้รับเอกราชในปี 1949 เขาได้เติบโตในหน้าที่การงานด้านทหารเป็นอย่างมากและได้รับการไว้วางใจจากประธานาธิบดีซูการ์โนเป็นอย่างมาก
หลังจากนั้นมีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้นในปี
1965 มีนายพลหัวซ้ายได้ถูกสังหารหลายคน
ขณะเดียวกันนั้นซูฮาร์โตก็ได้กุมอำนาจทางทหารเพิ่มขึ้นก่อนที่จะเขี่ยอดีตผู้ก่อนตั้งอินโดนีเซียอย่างซูการ์โนออกจากตำแหน่ง
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มใช้นโยบายกฎระเบียบใหม่ของเขา และการกวาดล้างคอมมิวนิสต์ก็ได้เริ่มขึ้น
ได้มีรายงานจากกลุ่มสิทธิมนุษยชน กล่าวว่ามีประชากรประมาณ 500,000-1,000,000
คนถูกฆ่าอย่างทารุน แต่อย่างไรก็ตามในช่วงการบริหารของเขาเขาได้ทำให้ประเทศมีความก้าวหน้าและเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมากจนเป็นที่สนใจของผู้ลงทุนจากนอกประเทศ
ในปี 1975 เขาได้ให้ทหารบุกยึดติมอร์ตะวันออกตามแนวคิดต่อต้านคอมมิวนิสต์เพื่อสนับสนุนตะวันตก
และคาดการณ์ว่ามีผู้เสียชีวิตประมาณ100,000 คนในการยึดครองตลอดช่วงสองทศวรรษนี้
ถึงแม้จะมีเงินทองหลั่งไหลสู่อินโดนีเซียเป็นอย่างมาก แต่เงินส่วนใหญ่ก็ตกอยู่ในวังวนแห่งการคอรัปชั่นที่กำขยายตัวกลืนกินประเทศนี้อยู่
โดยคนส่วนใหญ่จำนวนมากมิได้รับผลประโยชน์จากการเจริญเติบโตดังกล่าวเท่าควร และแล้วเมื่อวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในปี
1997 ทำให้อินโดนีเซียทรุดลงไปอย่างมากประกอบกับมีกระแสต่อต้านการปกครองของเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จนในที่สุดเขาจำต้องลงจากอำนาจที่เขาถือครองอย่างยาวนานถึงสามทศวรรษเมื่อ
เดือนพฤษภาคม 1998
เมื่อไม่มีอำนาจความจริงหลายอย่างที่ซ่อนอยู่ก็ได้เปิดเผยออกมา
ข้อกล่าวหาหลักๆที่เขาได้รับและต้องขึ้นสู่ศาลก็คือเรื่องการคอรัปชันและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ถึงแม้อย่างแรกจะไม่สามารถจะพิสูจน์ได้ก็ตาม(ทางการอินโดฯ)ความร่ำรวยมหาศาลของครอบครัวเขาก็ยังเป็นที่จับตา
หลังจากเขาหมดอำนาจเขาก็ต้องเข้าๆออกๆเพื่อทำการรักษาสุขภาพที่ย่ำแย่
แม้ว่าจะต้องมีคดีความที่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลเขาก็มิเคยได้ถูกนำตัวขึ้นศาลแม้แต่เพียงครั้งเดียว
เนื่องมาจากศาลสูงแห่งอินโดนีเซียลงความเห็นว่าเขาป่วยอย่างถาวรและไม่เหมาะสมที่จะมาขึ้นศาล
เมื่อในช่วงต้นปีที่ผ่านมาเขาได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลและเข้ารักษาตัวตั้งแต่นั้น
ถึงแม้ต่อมาเขาได้ทำให้หลายคนประหาดใจเมื่อเขาได้ฟื้นจากอาการโคมาจนแพทย์ที่ทำการรักษาเตรียมตัวที่จะให้เขาเดินทางกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้
แต่แล้ววันเวลาบนโลกใบนี้ต้องหมดไป คงไม่มีใครปฎิเสธได้ว่าเขานี่แหละเป็นผู้สร้างอินโดนีเซียให้เจริญก้าวหน้างอย่างที่สุด
และเขาคนเดียวกันนี้ที่ทำให้มันแย่ลงไปเช่นเดียวกัน ถึงแม้เขาจะไม่ได้รับการพิพากษาคดีความต่างๆที่เขามีติดตัวในโลกนี้
ทว่าแน่นอนที่สุดเขาก็ต้องได้รับการสอบสวนพิพากษาในสิ่งที่เขาได้ทำเอาไว้ในโลกหน้าอย่างแน่นอน
Posted by P.H.S. ,
ผู้อ่าน : 757 , 00:12:13 น.
อดีตประธานาธิบดีอินโดนีเซีย
“ซูฮาร์โต” จอมเผด็จการปกครองประเทศด้วยกำปั้นเหล็กมานาน 32 ปี
ถึงแก่อนิจกรรมแล้วด้วยวัย 86 ปี เนื่องจาก หัวใจ ตับ
ปอดล้มเหลว ความดันเลือดลดลง ในขณะที่อดีตประธานาธิบดีผู้นี้ถูกกล่าวหาว่า
เป็นจอมโกงกินแห่งศตวรรษ ยักยอกเงินหลายพันล้านดอลลาร์ และรัฐบาลอินโดฯ
กำลังฟ้องเรียกค่าเสียหาย 1,400 ล้านดอลลาร์
ล่าสุดรัฐบาลอินโดฯ ประกาศลดธงชาติครึ่งเสา 7 วัน
เพื่อไว้อาลัยแล้ว
เมื่อวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา มีรายงานว่า “ซูฮาร์โต” อดีตประธานาธิบดี แห่งอินโดนีเซีย ถึงแก่อนิจกรรมแล้วด้วยวัย 86 ปี สาเหตุมาจากอวัยวะภายในล้มเหลว ทั้งหัวใจ ตับ ปอด หลังจากที่ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลเปอร์ตามินา มาตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม ที่ผ่านมา โดยอดีตประธานาธิบดี ซูฮาร์โต ได้ล่วงลับเมื่อเวลา 13.10 น.ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งก่อนที่อดีตประชาธิบดีจะล่วงลับ ลูกทั้ง 6 คน ได้รีบมาเยี่ยมดูอาการหลังจากที่ทราบว่าพ่อมีอาการทรุดหนัก ทั้งนี้ ซูฮาร์โต ล้มป่วยลงจากอวัยวะหลายชิ้นส่วนล้มเหลวครั้งแรกเมื่อสัปดาห์เศษที่ผ่านมา หลังจากนั้นอาการกลับดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ และแพทย์บอกเมื่อวันเสาร์ ที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา ว่า “ซูฮาร์โต” สามารถหายใจได้เองแล้ว 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเครื่องช่วยหายใจนั้นเป็นเพียงส่วนเสริม หากอาการแย่ลงเท่านั้น อดีตประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ได้ก้าวลงจากอำนาจหลังปกครองประเทศมายาวนานถึง 32 ปี ในปี ค.ส.1998 และถูกกล่าวหาว่า เป็นหนึ่งในผู้โกงกินแห่งศตวรรษ กรณียักยอกเงินหลายพันล้านดอลลาร์ ให้กับตัวเอง ครอบครัว และเพื่อนพ้องขณะอยู่ในอำนาจ อย่างไรก็ตาม อดีตผู้นำจอมเผด็จการของอินโดนีผู้นี้ ก็ไม่เคยถูกนำตัวเข้าสู่การพิจารณาคดีคอรัปชั่นแต่อย่างใด โดยอ้างเกี่ยวกับเรื่องปัญหาสุขภาพทำให้ยังไม่พร้อม ในขณะที่รัฐบาลอินโดนีเซียกำลังฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจาก “ซูฮาร์โต” เป็นเงินจำนวน 1,400 ล้านดอลลาร์ ในข้อหาใช้เงินมูลนิธิที่เขาเป็นประธานผิดวัตถุประสงค์ ทั้งนี้ ซูฮาร์โตเคยถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาลครั้งล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2006 เนื่องจากมีอาการเลือดออกในลำไส้ และต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนานเกือบเดือน ต่อมามีรายงานว่า ศพของ “ซูฮาร์โต” ได้ถูกเคลื่อนย้ายจากโรงพยาบาลเปอร์ตามินา ในกรุงจาการ์ตา เมื่อเวลา 14.35 น. ตามเวลาท้องถิ่น ไปยังบ้านพักของเขาในเขตเมนเต็งของกรุงจาการ์ตาแล้วโดยบรรดาผู้มีเกียรติเตรียมเดินทางไปร่วมเคารพศพที่บ้านพักดังกล่าวจำนวนมาก ส่วนประธานาธิบดีซูซิโล บัมบัง ยุทโธโยโน ขอสวดอ้อนวอนในนามของประเทศ รัฐบาลและประชาชนให้วิญญาณของ “ซูฮาร์โต” ซึ่งถึงแก่อนิจกรรมในวัย 86 ปี ไปสู่สุคติ พร้อมกับได้สั่งให้สำนักงานข้าราชการลดธงชาติลงครึ่งเสาเพื่อร่วมไว้อาลัยรวม 7 วัน ในขณะที่ประชาชนหลายร้อยคนแออัดยัดเยียดกันบริเวณข้างถนน ซึ่งปิดการจราจรนับตั้งแต่ข่าวการถึงแก่อนิจกรรมของอดีตผู้นำรายนี้เผยแพร่ออกไป ส่วนศพของ “ซูฮาร์โต” รายงานแจ้งว่า จะถูกฝังที่สุสานประจำครอบครัวบนเกาะชวา ห่างจากเมืองโซโลไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 35 กิโลเมตร และพิธีจะมีขึ้นในเช้าวันจันทร์ที่ 28 ม.ค.นี้ สำหรับพื้นที่บริเวณด้านหน้าบ้านพักของอดีตประธานาธิบดี ถูกเว้นไว้เพื่อเตรียมไว้ให้บรรดาผู้มีเกียรติและญาติๆ จะมาเคารพศพของซูฮาร์โตในช่วงเย็นวันเดียวกันนี้ ในจำนวนนั้นประกอบด้วยประธานาธิบดีซูซิโล บัมบัง ยุทโธโยโน และรองประธานาธิบดียูซุฟ คัลลา ซึ่งสื่อมวลชนท้องถิ่นรายงานว่าทั้งสองคนจะเดินทางมาถึงในเวลาประมาณ 16.00 น. ส่วน ประวัติของ “ซูฮาร์โต” เกิดเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 1921 จากครอบครัวยากจน บิดาเป็นเพียงข้าราชการชั้นผู้น้อยในชวากลาง เขาเข้ารับราชการทหารตั้งแต่อายุ 19 ปี ที่ยศสิบโทช่วงที่อินโดนีเซียซึ่งตกอยู่ภายใต้การปกครองของเนเธอร์แลนด์ ขณะที่ถูกญี่ปุ่นรุกรานในปี 1942-45 ต่อมาเขาเข้าร่วมกับนักรบกองโจรอินโดนีเซียต่อต้านกองทัพเนเธอร์แลนด์ “ซูฮาร์โต” ก้าวสู่อำนาจด้วยการนำกองทัพก่อรัฐประหารนายพลซูการ์โน ในปี 1965 “ซูฮาร์โต” วางและดำรงฐานอำนาจการปกครองส่วนกลางผ่านสายทหาร และการใช้นโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ ทำให้อินโดนีเซียในช่วงสงครามเย็นได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลตะวันตกทั้งเชิงเศรษฐกิจและการทูต ส่งให้อินโดนีเซียมีการเติบโตทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมอย่างแข็งแกร่ง แต่อีกด้านหนึ่งการปกครองของ “ซูฮาร์โต” ก็นำไปสู่การกวาดล้างชาวอินโดนีเซียที่เป็นคอมมิวนิสต์ รวมถึงชาวอินโดนีเซียเชื้อสายจีนหลายแสนคน และออกกฎหมายคว่ำบาตรพรรคคอมมิวนิสต์และชาวจีนที่เป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศ
จนกระทั่งทศวรรษที่ 1990
การปกครองแบบเผด็จการและถูกกล่าวหาว่ามีการคอรัปชั่นอย่างมโหฬารนำไปสู่ความไม่พอใจของคนในประเทศ
โดยเฉพาะหลังยุควิกฤติค่าเงินในเอเชียกดให้เศรษฐกิจอินโดนีเซียตกต่ำลง
กระทบทั้งคุณภาพชีวิตประชาชนและอำนาจบริหารทั้งทางทหาร
การเมืองและสถาบันทางสังคม นำไปสู่การเดินขบวนประท้วงของคนในประเทศบีบให้ “ซูฮาร์โต” ลงจากตำแหน่งเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 1998
ในที่สุด
|
ซูฮาร์โต: ผู้นำเศรษฐกิจอาเซียน
ความรู้สึกชาตินิยมดำรงอยู่โดยทั่วไปในความรู้สึกของคนอินโดนีเซีย
เนื่องจากตั้งแต่สมัยอาณานิคม เช่นเดียวกับประเทศในภูมิภาคนี้เกือบทุกประเทศ
อินโดนีเซียเป็นอาณานิคมของฮอลแลนด์ ประกอบกับในอดีต
ฮอลแลนด์ได้ใช้จีนเสมือนเป็นพ่อค้าคนกลางในการขูดรีดส่วนเกินทางเศรษฐกิจ
ทรัพยากรจำนวนมากถูกดูดซับไปยังประเทศเหล่านี้
ทำให้ความยากลำบากเกิดขึ้นโดยทั่วไปในประเทศ จากเหตุการณ์ทั้งหมด
ทำให้เกิดขบวนการปลดแอกเพื่อต่อสู้กับประเทศอาณานิคมเหล่านั้น (รวมทั้งจีนด้วย) แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากได้รับเอกราชอย่างเป็นทางการแล้ว
ตะวันตกก็ไม่ยอมรับและสนับสนุนอินโดนีเซียว่าเป็นประเทศเอกราชจริง
ยุคหลังอาณานิคมของประเทศอินโดนีเซียค่อนข้างขรุขระพอสมควร
ทำให้พรรคของผู้นำในขณะนั้นคือซูการ์โน ต้องอาศัยเครื่องมือชาตินิยมในการสร้างชาติ
มีระบบการเมืองแบบ guided democracy ซึ่งเป็นระบบการเมืองที่มีการชี้นำจากผู้นำโดยตรง
(ต้องอาศัยผู้นำที่เข้มแข็งและเป็นเผด็จการมาก) ความสัมพันธ์ระหว่าประเทศในตอนนั้นไม่ราบรื่นนัก
โดยเฉพาะกับประเทศมาเลย์เซีย
ที่อินโดนีเซียมองว่าเป็นตัวแทนของอาณานิคมตะวันตกที่ยังดำรงอยู่ในภูมิภาค ทำให้นโยบายต่างประเทศในช่วงนั้นเป็นนโยบายแบบเผชิญหน้า หรือ confrontasi จากเหตุการณ์ทางการเมืองทั้งภายในและภายนอกประเทศนั้น
ทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศค่อนข้างที่จะเป็นไปได้ยาก
นโยบายทางเศรษฐกิจในช่วงนั้นไม่ชัดเจนเท่าที่ควร ภัยคอมมิวนิสต์และความเข้มแข็งของจีนที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ในยุค 1960 ทำให้พรรคคอมิวนิสต์ในอินโดนีเซียพยายามขึ้นมามีอำนาจภายในประเทศ
ส่งผลให้เกิดจลาจลและการใช้กำลังอยู่หลายที่หลายแห่ง
ผู้นำคนใหม่ที่ขึ้นมาคือนายพลซูฮาร์โต ที่เป็นนักปฏิบัตินิยม (pragmatist)ด้วยความต้องการปราบปรามคอมมิวนิสต์ในประเทศ
ทำให้มีความจำเป็นที่ต้องพึ่งพาประเทศตะวันตกเพื่อสร้างความสงบสุขภายในประเทศ จะเห็นได้ว่าสังคมทางการเมืองระหว่างประเทศของอินโดนีเซียเปลี่ยนไป
นั่นคือมองตะวันตกเป็นมิตรมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
ทั้งที่ประเทศเคยบอบช้ำจากลัทธิอาณานิคมมาก่อน
การพัฒนาเศรษฐกิจในยุคของซูฮาร์โต ในความเห็นของผม
เชื่อว่าเป็นไปได้มากกว่าสมัยของซูการ์โน เพราะ
ความมั่นคงภายในทั้งจากคอมมิวนิสต์เองหรือจากกลุ่มการเมืองอื่น ๆ เริ่มนิ่ง
ประกอบกับตัวของซูฮาร์โตเองที่ pro ตะวันตกเป็นอย่างมาก
ทำให้เกิดชุดนโยบายที่สร้างขึ้นเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศเป็นส่วนใหญ่ โดยอาศัย model การพัฒนาอย่างตะวันตก
โดยเชื่อว่า หากมีการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างตะวันตกแล้ว ความยากจนในประเทศก็จะลดลง การคุกคามของภัยคอมมิวนิสม์ก็สามารถลดลงได้ เรียกได้ว่ายุคของซูฮาร์โตคือยุคที่เรียกว่า NEW ORDER หรือระเบียบใหม่ของประเทศได้อย่างไม่ผิดนัก
ด้วยความเป็นนักปฏิบัตินิยมและนิยมชาติตะวันตกอย่างมากของผู้นำท่านนี้
ทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจในมิติอื่น ๆ เป็นไปได้ ตัวอย่างเช่น การมีสิ่งที่เรียกว่า national resilience หรือการที่เน้นการเพิ่มสวัสดิการของประชาชนในประเทศ
พึ่งพาความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากตะวันตก
การเพิ่มความร่วมมือในกรอบพหุภาคีมากขึ้น โดยอาศัยเครื่องมือคือกรอบความร่วมมือ ASEAN เป็นเครื่องมือหลัก
(และเรียกได้ว่าอินโดนีเซียใช้ ASEAN เป็นเครื่องมือหลักในการดำเนินนโยบายต่างประเทศมาตลอด)
รวมถึงการเปิดประเทศรับการลงทุนจากต่างชาติ
ให้สัมปทานแก่นายทุนต่างชาติให้เข้ามาใช้ทรัพยากรในประเทศได้
ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันหรือแก๊สธรรมชาติที่ประเทศมีอยู่มาก แต่อย่างไรก็ตาม
ก็มีข้อวิจารณ์อยู่มากว่าการให้สัมปทานนั้นไม่โปร่งใสอยู่มาก (มีสถิติว่าซูฮาร์โตติดอันดับผู้นำที่คอรัปชั่นมากที่สุดในโลกคนหนึ่ง)
ในช่วงที่เศรษฐกิจของเอเชีย
โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น
ทำให้บทบาทของผู้นำท่านนี้ยิ่งชัดและมีบทบาทที่สำคัญมากขึ้นในเวทีโลก
ดังจะเห็นได้จากการเป็นผู้นำในเวทีความร่วมมือในภูมิภาคอย่าง ASEAN เอง หรือเวทีระดับโลกอย่าง NAM (Non-aligned movement กลุ่มไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในสงครามเย็น) สำหรับบทบาททางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
ซูฮาร์โตมีภาพที่ชัดและทวีความสำคัญในการเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจนหนึ่ง
โดยใหอินโดนีเซียเป็นประเทศเจ้าภาพจัดการประชุม APEC ครั้งที่สอง และออก Bogor Declaration ขึ้นในปี 1994 โดยประกาศว่าจะมีการทำ FTA ระหว่างประเทศสมาชิกภายในปี 2010 สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้ว
และภายในปี 2020 สำหรับประเทศที่กำลังพัฒนา สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าบทบาททางเศรษฐกิจระหว่างประเทศของซูฮาร์โตเริ่มชัดเจนขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม
ความเป็นผู้นำของซูฮาร์โตก็ต้องหมดลง หลังจากเป็นประธานาธิปดีนานถึง 31 ปี เพราะวิกฤติเศรษฐกิจในปี 1997 ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในตัวของรัฐบาลและผู้นำว่าไม่สามารถแก้ไขวิกฤติได้
ทำให้อำนาจทางการเมืองสิ้นสุดลง ช่วงเวลา 31 ปีของการครองความเป็นผู้นำของซูฮาร์โตนั้นไม่สามารถปฏิเสธได้ถึงความเป็น “พี่ใหญ่” ของผู้นำท่านนี้ได้ และคุณปการต่าง ๆ
ที่ผู้นำท่านนี้ได้มอบไว้แก่ภูมิภาคเรา
รวมถึงมิติทางเศรษฐกิจอย่างที่ได้กล่าวไปแล้วด้วย
www.learners.in.th/blogs/posts/127286
wikipedia.org/wiki/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น