รูปแบบของรายงาน
ส่วนประกอบตอนต้น
ส่วนเนื้อเรื่อหน้าปกรายงาน
ควรเขียนด้วยรายมือตัวบรรจง ส่วนบนเขียนชื่อเรื่อง ส่วนกลางชื่อผู้รายงาน
ส่วนล่างบรรทัดแรกให้เขียนว่า “รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิชา”
บรรทัดที่สองเป็นชื่อสถาบันศึกษา
ส่วนบรรทัดที่สามบอกภาคที่เรียนและปีการศึกษา
คำขอบคุณ เป็นส่วนที่ไม่บังคับ
อาจมีหรือไม่มีก็ได้
คำนำ เป็นการบอกขอบข่ายของเรื่อง
สาเหตุที่ทำให้เลือกทำรายงานเรื่องนี้ จุดมุ่งหมายในการเขียน
สารบัญ หมายถึง
บัญชีบทต่าง ๆ ในสารบัญมีบทและตอนต่าง ๆ เรียงตามลำดับกับที่ปรากฏในหนังสือ
ตลอดจนการขอบคุณผู้ที่ช่วยเหลือในการทำรายงาน
บัญชีตารางหรือภาพประกอบ (ถ้ามี) เพื่อให้มีเนื้อหาที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
รายงานบางเรื่องอาจต้องใช้ตาราง นิยมทำบัญชีตารางหรือบัญชีภาพประกอบไว้ในหน้าถัดไปจากสารบัญ
ส่วนที่เป็นเนื้อหา ต้องมีตอนนำ ตอนตัวเรื่อง
และตอนลงท้ายเช่นเดียวกับการเขียนเรียงความ
ส่วนประกอบในเนื้อหา ได้แก่ อัญประกาศ คือข้อความที่คัดมาจากคำพูดหรือข้อเขียนของผู้อื่น
โดยไม่ได้ดัดแปลงเชิงอรรถ คือข้อความท้ายหน้า
มีไว้เพื่อแจ้งที่มาของข้อความในตัวเรื่อง
ส่วนประกอบตอนท้าย
บรรณานุกรม คือ รายชื่อสิ่งพิมพ์ตลอดจนวัสดุอ้างอิงทุกชนิด
ที่เกี่ยวข้องกับการทำรายงาน พิมพ์ไว้ ตอนท้ายสุดของรายงาน การเขียนบรรณานุกรม
ต้องบอกชื่อสกุลผู้แตง ชื่อหนังสือ ครั้งที่พิมพ์ เมืองที่พิมพ์ สำนักพิมพ์
ปีที่พิมพ์ จำนวนหน้า ภาคผนวกหรืออภิธานศัพท์ คือ
ส่วนที่นำมาเพิ่มเติมท้ายรายงานเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น
กระบวนการเขียนรายงานรูปแบบของการรายงาน แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนประกอบตอนต้น ส่วนเนื้อหา
และส่วนประกอบตอนท้าย ดังนี้
ขั้นตอนการเขียนรายงาน มีดังนี้
1. การเลือกเรื่องและตั้งชื่อเรื่อง เรื่องที่เลือกมาศึกษา
ควรเป็นเรื่องที่เสริมความรู้ในการเรียนวิชาใดวิชาหนึ่ง ขอบเขต
ที่เลือกควรเหมาะสมกับเวลาในการค้นคว้าและการเขียนรายงาน
2. การกำหนดจุดมุ่งหมายและขอบเขตของเรื่อง จะต้องมีจุดมุ่งหมายและเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร
เพื่ออะไร มีขอบเขตเพียงใด เช่น
หากจะเขียนรายงานเรื่องพิธีมงคลโกนจุกอาจกำหนดจุดมุ่งหมายและ
ขอบเขต
ดังนี้จุดมุ่งหมาย : การศึกษาประเพณีไทยโบราณ
ขอบเขต
: ความเป็นมาและงานพิธีโกนจุก
3. การเขียนโครงเรื่อง โครงเรื่อง คือ กรอบ ของเรื่องที่ใช้เป็น แนว
ในการเขียนรายงานโครงเรื่องประกอบด้วย บทนำหรือความนำซึ้งมีหัวข้อใหญ่และหัวข้อย่อย
ควรตั้งชื่อให้กะทัดรัด ใจความครอบคลุมเนื้อหา
4. การเขียนเนื้อหา ได้จากการค้นคว้า จากแหล่งต่าง ๆ ไม่ว่าจากการอ่าน การฟัง การสังเกต
การสัมภาษณ์ ฯลฯ ที่ผู้เขียนได้บันทึกไว้ แต่ไม่ใช่การคัดลอกหรือตัดต่อ
ผู้เขียนเรียบเรียงด้วยสำนวนของตนเอง สำนวนภาษาควรอ่านเข้าใจง่าย ใช้คำที่เหมาะสม
ประโยคกะทัดรัด
5. บทสรุป คือสรุปผลการศึกษาค้นคว้า
มีการอภิปรายผลการศึกษาค้นคว้าและเสนอแนะ (ถ้ามี )
6. การอ้างถึง หมายถึงการบอกให้ทราบว่าข้อความที่ใช้ในการเขียนรายงานมาจากแหล่งใด
เพื่อผู้อ่านจะได้ตรวจสอบหรือติดตาม
การเขียนรายงาน คือการเขียนเสนอผลงานอันได้มาจากการศึกษาค้นคว้าพิเศษนอกเหนือจากเรื่องที่ได้ศึกษาในชั้นเรียนเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
ความหมายของรายงาน
รายงาน คือ การเขียนเล่าถึงสิ่งที่ได้พบเห็นหรือได้กระทำมาแล้ว
เช่น การค้นคว้า
ทางวิชาการ การไปศึกษานอกสถานที่ การไปพักแรมค่ายเยาวชน การประชุมกลุ่ม
การประสบเหตุการณ์ที่สำคัญ เป็นต้น
ลักษณะของรายงานคล้ายย่อความ คือเก็บเฉพาะข้อความสำคัญแต่อาจ
เพิ่มเติมรายละเอียดบางอย่างได้ตามสมควร แบบการเขียนรายงานไม่มีข้อกำหนดตายตัว
เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย อาจกำหนดตามแบบของแต่ละสถาบัน
ส่วนต่าง
ๆ ของรายงาน มี 3 ส่วน ดังนี้
1. ส่วนหน้า ประกอบด้วย หน้าปก ใบรองปกหน้า (กระดาษเปล่า) หน้าปกใน หน้าคำนำ หน้าสารบัญ
2. ส่วนกลาง ประกอบด้วย เนื้อเรื่อง เชิงอรรถ
3. ส่วนท้าย ประกอบด้วย บรรณานุกรม ภาคผนวก ใบรองปกหลัง
(กระดาษเปล่า) ปกหลัง
การเขียนส่วนต่าง ๆ ของรายงานแต่ละส่วน
1.
การเขียนปกรายงานและการเขียนหน้าปกใน
1.1 การเขียนปก ให้เขียนชื่อเรื่อง และผู้เขียนรายงาน กลางหน้ากระดาษ ไม่ต้องใส่คำว่า ชื่อเรื่อง และผู้เขียนรายงาน
1.2 การเขียนหน้าปกในให้เขียนโดยแบ่งเป็น 3 ส่วน ดังนี้
ส่วนบน ให้เว้นระยะ
2 นิ้ว จากขอบกระดาษบนถึงบรรทัดแรกของรายงาน
และเขียน ชื่อเรื่องของรายงาน ใส่เฉพาะชื่อเรื่องที่เขียนรายงาน ไม่ต้องใส่คำว่า ชื่อเรื่อง
ส่วนกลาง เว้นจากส่วนบนลงมาประมาณ
2 บรรทัดใส่คำว่าโดย และชื่อผู้เขียนรายงาน
ไม่ต้องใส่คำว่า ผู้เขียนรายงาน
ส่วนล่าง ให้เว้นระยะ
1 นิ้ว จากขอบกระดาษล่างถึงบรรทัดสุดท้ายของส่วนล่าง
บรรทัดแรกของส่วนล่างระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิชาใด ชั้นอะไร
ภาคเรียนที่เท่าใด ปีการศึกษาใด ใครเป็นครูผู้สอน
2.
การเขียนคำนำ
การเขียน “คำนำ” อยู่ห่างจากขอบกระดาษด้านบน
2 นิ้ว ผู้เขียนรายงานจะระบุวัตถุประสงค์
ขอบเขตของเนื้อเรื่อง หรือแนวการค้นคว้า และคำขอบคุณผู้มีส่วนช่วยเหลือให้ การค้นคว้ารวบรวม
และเรียบเรียงรายงานนั้นให้สำเร็จลงด้วยดี เมื่อหมดข้อความแล้วลงชื่อผู้เขียน วัน
เดือน ปี ที่เขียน ถ้าเป็นรายงานกลุ่มเขียนคำว่า คณะผู้จัดทำ
หน้าคำนำมักนิยมใส่เลขหน้าในวงเล็บไว้ด้านล่าง
3.
การเขียนสารบัญ
การเขียน “สารบัญ”
ผู้เขียนรายงานจะแบ่งเป็นบท เป็นตอนระบุเนื้อเรื่องที่ปรากฏในรายงาน
เรียงตามลำดับ การเว้นระยะในการเขียนจะอยู่ห่างจากขอบกระดาษด้านบน
2 นิ้ว และข้อความในสารบัญ
จะอยู่ห่างจากริมซ้ายของกระดาษเข้าไป 1.1 นิ้ว
เริ่มตั้งแต่ คำนำ บท และ ชื่อของบท จนถึงส่วนท้าย คือบรรณานุกรม และภาคผนวก
เลขหน้าทางด้านขวามือจะอยู่ห่างจากขอบขวาของกระดาษ 1.1 นิ้ว
ผู้เขียนรายงานต้องทำรายงานเรียบร้อยแล้วจึงจะระบุเลขหน้าได้ว่า บทใด
ตอนใด อยู่หน้าใด
การนำบัตรข้อมูลที่บันทึกตามโครงเรื่องมาเขียนเนื้อหาของรายงาน
การเขียนเนื้อเรื่อง เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด เพราะผลการค้นคว้ารวบรวมทั้งหมดที่บันทึก
ลงในบัตรบันทึกข้อมูลจะนำมาเรียบเรียงไว้ในส่วนนี้
เรียงตามลำดับโครงเรื่องที่ปรากฏในสารบัญ ครอบคลุมตั้งแต่บทแรกถึงบทสุดท้าย
ในหน้าแรกของเนื้อเรื่องไม่ต้องใส่เลขหน้าเว้นจากขอบบนของหน้ากระดาษลงมา 2 นิ้ว ไว้กลางหน้ากระดาษ ทุกครั้งที่ขึ้นบทใหม่ไม่ใส่เลขหน้าเฉพาะหน้านั้นแต่ให้นับหน้าด้วย
การเว้นระยะจากขอบล่างขึ้นมา ให้เว้น 1 นิ้ว จากขอบซ้ายของหน้ากระดาษเข้ามาเว้น
1.5 นิ้ว จากขอบขวาของหน้ากระดาษเข้ามา
เว้น 1 นิ้ว
ส่วนการย่อหน้าทุกครั้งให้เว้น 6 ช่วงตัวอักษร
เขียนตัวที่ 7
การทำบรรณานุกรมท้ายเล่ม
การลงบรรณานุกรม หากมีเอกสารทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศให้ลงภาษาไทยก่อน
เรียงตามลำดับประเภท และในแต่ละประเภทเรียงตามลำดับอักษรผู้แต่ง
หรือเรียงตามลำดับอักษรรวมกันไม่แยกประเภท
อ้างอิง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
--- http://www.scribd.com/doc/6516049/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99